‘อินโนไบโอติก’ ดึงวิจัยเกาหลี ‘ดร.จี บิฟิดัส’ ซินไบโอฯ เสริมภูมิร่างกาย!

ทำความรู้จัก ‘ดร.จี บิฟิดัส’ โปรดักท์นวัตกรรมซินไบโอติก ฉายภาพงานวิจัยเกาหลีสู่ตลาดไทย ภายใต้การบริหารจัดการของ ‘บ.อินโนไบโอติก’ หวังเจาะกลุ่มผู้มีปัญหาสุขภาพลำไส้ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์เร่งรีบในยุคปัจจุบัน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีแรก 50 ล้านบาท!

เวลาที่เราพูดถึงระบบภูมิคุ้มกันก็มักจะนึกถึง ‘เม็ดเลือดขาว’ แต่คงนึกไม่ถึงว่า ‘ลำไส้’ ก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน เนื่องจากกว่า 70% ของระบบภูมิคุ้มกันอยู่ที่ลำไส้ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันที่ดีแก่ร่างกาย ต้านเชื้อโรค ฯลฯ

จึงถือได้ว่า ‘ลำไส้’ เป็นอีกหนึ่งอวัยวะภายในที่สำคัญของร่างกาย ถึงกับถูกหยิบยกให้มีความฉลาดรองจากสมอง เพราะลำไส้มีความเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานต่างๆ ทั้งระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท ระบบขับถ่าย แม้แต่ระบบภูมิคุ้มกัน (Immunity System) ถึงขนาดที่ว่าหากลำไส้อ่อนแอเมื่อไร ก็จะมีส่วนที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอตามไปด้วยเมื่อนั้น

ในขณะเดียวกันโรคที่เกี่ยวกับลำไส้อย่าง ‘โรคลำไส้แปรปรวน’ หรือ ‘IBS’ เป็นโรคเรื้อรังที่มักจะพบปล่อยในคนไทย โดยเกิดตั้งแต่อายุน้อย ไปจนถึงช่วงวัยที่พบมากที่สุดคือ 30-50 ปี ซึ่งเป็นโรคที่พบได้มากเป็นอับดับ 2 รองจากไข้หวัด และคนไทยเป็นโรคนี้ถึง 20% เลยทีเดียว อันเกิดจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ความเครียด การทำงาน การกิน ส่งผลสู่การเกิดโรคลำไส้แปรปรวน

และยิ่งโลกปัจจุบันที่เข้าสู่เทรนด์การดูแลสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ซึ่งการเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย การป้องกันโรคลำไส้ “จุลินทรีย์” เป็นสิ่งสำคัญ เพราะภายในลำไส้ประกอบด้วยจุลินทรีย์กว่า 5 พันสายพันธุ์ โดยบางจำพวกจะช่วยย่อยอาหาร ช่วยดูดซึมสารอาหารซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีทั้งประโยชน์ และจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อประโยชน์ปะปนกัน หากขาดสมดุลมีปริมาณจุลินทรีย์ไม่ดีมากไป ก็จะทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยได้ ดังนั้นที่ผ่านมาวงการสุขภาพได้มีการคิดค้น หาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันเริ่มตั้งแต่การปรับพฤติกรรมการกิน เพราะพบว่าอาหารบางชนิดมีจุลินทรีย์ “โปรไบโอติก” เช่น นม โยเกิร์ต กิมจิ และนัตโตะ มีจุลินทรีย์กลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ประกอบด้วยแบคทีเรีย 3 สายพันธุ์หลัก คือ แลคโตบาซิลลัส บรรเทาอาการท้องเสีย ภูมิแพ้ ,บิฟิโดแบคทีเรียม ช่วยรับสมดุลและบรรเทาอาการผิดปกติต่าง ๆ ของลำไส้ และเอนเทอโรคอคคัส ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน จึงมีการพัฒนานำโปรไบโอติกมาเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างชาติต่างทยอยเข้าสู่ตลาดนี้กันอย่างคับคั่ง ด้วยเหตุผลที่จะเร่งพัฒนาเทคโนโลยีสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น

และหนึ่งในนั้นคือแล็บชั้นนำของ “Dr.Guen Eog Ji” จากมหาวิทยาลัยกรุงโซล เกาหลีใต้ ที่ทุ่มงบประมาณในการวิจัยค้นคว้าด้านโปรไบโอติกมากว่า 30 ปี จนมีงานวิจัยรองรับกว่า 250 ชิ้น ตีพิมพ์วารสารวิชาการกว่า 100 ฉบับ และจดสิทธิบัตรมากกว่า 40 สิทธิบัตร และตกผลึกเป็น “ดอกเตอร์ จี บิฟิดัส” นวัตกรรมใหม่แห่งวงการที่รวมโปรไบโอติกที่ดีที่สุดถึง 4 สายพันธุ์ พร้อมผสานเทคโนโลยีพรีไบโอติก สารอาหารที่จะช่วยให้โปรไบโอติกทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือที่เรียกว่า “ซินไบโอติก” จึงไม่แปลกที่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดนี้จะได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาดจนสามารถส่งออกได้ถึง 24 ประเทศทั่วโลก และหนึ่งในนั้นคือ “ประเทศไทย”

ผ่านการบริหารงานโดย “ปิยธิดา บำรุงรักษ์” ประธานกรรมการ บริษัท อินโนไบโอติก จำกัด ผู้คว่ำหวอดในแวดวงผลิตภัณฑ์ด้านความงามและสุขภาพ มานานกว่า 10 ปี ที่ในครั้งนี้เดินหน้าเปิดประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับประเทศไทย ในด้านการดูแลสุขภาพโดยได้ร่วมมือกับบริษัท Innobiotic และ เภสัชกร ณัฐชาศิษฐ์ พงษ์เขตกิจ ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการบริษัท อินโนไบโอติก จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านโปรไบโอติก ภายใต้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ดร. จี บิฟิดัส

ที่มีจุดเด่นคือ สายพันธุ์โปรไบโอติก B. bifidum BGN4 ซึ่งมีคุณสมบัติในการยึดเกาะผนังลำไส้สูง ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ยับยั้งอาการลำไส้แปรปรวน ปรับสมดุลทางอารมณ์ ป้องกันโรคภูมิแพ้ และสายพันธุ์ B. longum BORI ร่วมกับ L. acidophilus AD031 ที่ช่วยต่อต้านไวรัสโรตาหรือโรคอุจจาระร่วงและอาเจียน และ Zinc วิตามินซี ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณแข็งแรง กระจ่างใส ลดการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งเป็นในรูปแบบผงสามารถทานได้อย่างสะดวก

ปิยธิดา กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ คือ ผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง และต้องการหาตัวช่วยในการจัดการปัญหาสุขภาพให้เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพลำไส้ โดยจะเป็นกลุ่มคนอายุ 30  ขึ้นไป ที่เป็นคนวัยทำงาน มีพฤติกรรมความเครียด พฤติกรรมการทานอาหารไม่ดี ใช้ชีวิตเร่งรีบ ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หรือ ผู้ที่มีปัญหาการขับถ่าย ไม่ว่าจะเป็น ท้องผูก ท้องอืด ขับถ่ายไม่เป็นเวลา

“อย่างไรก็ตามในปีนี้วางงบลงด้านการตลาด ไว้ที่ประมาณ 15 -20 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายในปีแรกไว้ที่ประมาณ 50 ล้านบาท และในปี 2565 ตั้งเป้าที่จะเติบโตจากปี 64 ประมาณ 30 % ผ่านกลยุทธ์ที่ไว้วางไว้คือ สร้างการรับรู้และสร้าง Value Leader ให้กลายเป็นแบรนด์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพติดอันดับ 1 ในไทยภายใน 6 เดือนนี้ ใต้การสร้างแคมเปญให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสุขภาพลำไส้ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ผ่านการจัดบูธ จัดกิจกรรรม และต่อไปคือพรีเซนเตอร์ ที่จะมาสร้างความผูกพันฑ์ที่ดีต่อแบรนด์และผู้บริโภค และสุดท้ายคืออินฟลูเอนเซอร์ที่จะมาสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น”

โดยมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์จำหน่ายผ่านช่องทาง คลินิก โรงพยาบาล โดยระยะแรกที่ทำการตลาดแล้วนั้นรวมกว่า 70 แห่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ส่วนในปี 65 จะเพิ่มเป็น 200 แห่งทั่วประเทศ และขยายเพิ่มเรื่อยๆ อีกทั้งช่องทาง Online และ Offline โดยแบ่งเป็น 50:50 อาทิ เฟซบุ๊กแฟนเพจ อินสตราแกรม คลับเฮาท์  ฯลฯ เพื่อกระจายไปสู่ตลาดมากขึ้น และเฟสถัดไปจะขยายสู่ห้างร้าน หรือ โมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น

Dr.G Probiotic โปรไบโอติก

นอกจากนี้บริษัทฯมีแผนที่จะทำการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ อย่าง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC เนื่องจากว่ามีพันธมิตรที่คอยสนับสนุนเป็นทุนเดิม อีกทั้งสินค้าของบริษัทฯ มีชื่อเสียงและเป็นที่โด่งดังในประเทศเพื่อนบ้านหลายรายการ จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถตีตลาดได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้เมื่อถามถึงภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารเสริม ปิยธิดา ชี้ว่า ตลาดอาหารเสริมมีแนวโน้มมีอนาคตสดใส โดยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตได้มากกว่าปีก่อนหน้าถึง 11% โดยกลุ่มไบโอติกมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15-20 % ของตลาด ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารสกัดอื่นๆ

“นับว่าเป็นตลาดที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานับเป็นช่วงที่เงินสะพัดสูงสุด สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายที่ดี อัตราการเติบโตของกลุ่มอาหารเสริมค่อนข้างที่จะสวนทางกับธุรกิจในหลายๆกลุ่มสินค้าที่อาจมีการชะลอตัวลงไปบ้างตามสภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจ และกำลังซื้อโดยรวมของประเทศ อีกทั้งพิษจากสมรภูมิโควิด แต่กระนั้นการแข่งขันสูงมากโดยวิตามินและเกลือแร่ยังครองตลาด จึงทำให้แบรนด์ใหญ่เริ่มทยอยส่งสินค้าลงสู่สนามกันอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น “อินโนไบโอติก” จึงอยากเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่จะช่วยกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายหันมารักตัวเอง ให้ความสำคัญกับการดูแลและใส่ใจสุขภาพโดยเฉพาะลำไส้ ซึ่งถือว่าเป็นอวัยวะสำคัญเปรียบเสมือนบอดี้การ์ดของภูมิคุ้มกันร่างกาย” ปิยธิดา กล่าวทิ้งท้าย

โดย : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/929460

พูดคุยกับเรา